Category Archives: My Story

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๘

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ

ช่วงที่ทำงานบริษัทอยู่นั้น ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินอย่างหนัก เพื่อสะสมทรัพย์สินเงินทองให้ทัดเทียมกับคนอื่นในสังคม เมื่อยังไม่ได้แต่งงานก็อยากแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีลูก มีลูกแล้วก็อยากมีบ้าน มีบ้านแล้วก็อยากมีรถ พอใช้รถเก่าก็อยากซื้อรถใหม่ ดูเหมือนความอยากมันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

มนุษย์เราทุกวันนี้วิ่งวุ่นแสวงหาลาภ ยศ ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง และเกียรติยศ เพื่อบำรุงบำเรอความอยากของตัวเอง แม้บางครั้งต้องทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่นก็ตาม ความอยากที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ ลำพังการทำงานหาเลี้ยงชีวิตหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะได้ทรัพย์สมบัติมากมายเกินความพอดีที่ตัวเองจะใช้หมดในชาตินี้ ก็ยังนับได้ว่าเป็นความอยากที่สุจริต แต่สำหรับบางคนแล้วบำรุงความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของตัวเองด้วยการเบียดเบียน หลอกลวง คดโกง ทุจริตต่อผู้อื่นและสังคม

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า “โลกพร่องอยู่เป็นนิจ” โลกเป็นอยู่อย่างนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง จงอย่าพยายามไปแก้ไขที่โลก แต่ควรทำใจให้เห็นธรรมดาของโลกเข้าไว้ โลกนี้วุ่นวายอยู่เป็นนิจ แต่จิตใจอย่าไปวุ่นวายกับโลก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ อย่าไปคิดที่จะแก้ไขโลก จงแก้ไขที่จิตใจของตัวเราเอง จิตของเราก็เหมือนคนทั่วๆไปมีความอยาก ความรัก ความชัง เหมือนกันกับคนอื่น ศึกษาเรียนรู้เฝ้าดูจิตใจของเราเองจนละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจผู้อื่น

ท่านพระรัฐปาละได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าโกรัพยะ เรื่อง โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ดังนี้

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร มหาบพิตรทรงครอบครองกุรุรัฐอันเจริญอยู่หรือ?

พระเจ้าโกรัพยะ: อย่างนั้น ท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าครอบครองกุรุรัฐอันเจริญอยู่

พระรัฐปาละ: มหาบพิตรเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ราชบุรุษของมหาบพิตรที่กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผล พึงมาจากทิศบูรพา เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้ามาจากทิศบูรพา ในทิศนั้นข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้น มีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะที่ฝึกแล้วมาก มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ทำแล้วก็มาก ในชนบทนั้นสตรีปกครอง พระองค์อาจจะรบชนะได้ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิดมหาราชเจ้า ดังนี้มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น?

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็จะไปรบเอาชนบทนั้นมาครอบครองเสียน่ะซิ

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ราชบุรุษของมหาบพิตรที่กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผล พึงมาจากทิศปัศจิม … จากทิศอุดร … จากทิศทักษิณ … จากสมุทรฟากโน้น เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้ามาจากสมุทรฟากโน้น ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้น มีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะที่ฝึกแล้วมาก มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ทำแล้วมาก ในชนบทนั้นสตรีปกครอง พระองค์อาจจะรบชนะได้ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิดมหาราชเจ้า ดังนี้มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น?

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็จะไปรบเอาชนบททั้งหมดนั้นมาครอบครองเสียน่ะซิ

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสธัมมุทเทสว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาก่อน ข้อว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหานี้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้ว ท่านรัฐปาละ เป็นความจริง โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา …

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

พระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๗

ปราณ จักระ ชี่

หลังจากวันที่ 6 ของคอร์สวิปัสสนาผ่านไปเช้าวันรุ่งขึ้น อากาศเย็นสบายทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ น่าจะเป็นช่วงเวลาประมาณตี 5 กว่าๆ ขณะกำลังนั่งภาวนาอยู่นั้นลมหายใจของผมรู้สึกสั้นลงๆ บางช่วงรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงวูบลงมาจนเกิดอาการตัวสะดุ้ง ลมหายใจที่เข้าออกผ่านทางช่องจมูกรู้สึกแผ่วเบามาก บางช่วงเหมือนมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นภาพแปลกๆที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน บางขณะมองเห็นลมหายใจของตัวเองเป็นหมอกขาวๆลอยออกมาผ่านทางช่องจมูก เหมือนกับในช่วงฤดูหนาวจัดๆเราเป่าลมออกมาจากปากจะเห็นหมอกพวยพุ่งออกมาเป็นสายสีขาวๆ แตกต่างกันที่ขณะนั้นผมเห็นหมอกสีขาวพวยพุ่งออกจากช่องจมูกด้วยใจ เพราะตอนนั้นผมกำลังหลับตาอยู่ในท่านั่งสมาธิ แต่ภาพต่างๆเกิดขึ้นมาในใจอย่างชัดเจนเหมือนกำลังมองเห็นในขณะลืมตาเลยทีเดียว

จากนั้นผมได้กลิ่นน้ำหอมแบบฉุนๆเข้าที่จมูก ซึ่งปรกติผมเป็นโรคภูมิแพ้จะเป็นคนแพ้กลิ่นน้ำหอมเคมี หรือกลิ่นที่เป็นสารสังเคราะห์เกือบทุกชนิด กลิ่นน้ำหอมเคมีนั้นแรงขึ้นๆผมจึงกลั้นลมหายใจเข้าไว้ ขณะกลั้นลมหายใจอยู่นั้นผมก็นึกอยู่ในใจว่าจะใช้อะไรเป็นฐานที่ตั้งของสติดีหนอ? ทันใดนั้นผมมีความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรเป็นลูกๆวิ่งอยู่ในท้อง เริ่มต้นจากบริเวณท้องน้อยวิ่งขึ้นมาข้างบนเกือบถึงลิ้นปี่ ผมรู้สึกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น? และมันคือก้อนหรือลูกอะไรที่วิ่งขึ้นวิ่งลงในท้องเรา หลังจากนั้นผมจึงเพ่งความสนใจที่ไปบริเวณท้องน้อยอีกครั้ง เพื่อสังเกตสิ่งผิดปรกติเมื่อกี้นี้ และทำให้ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นลมภายในร่างกาย คราวนี้พอเพ่งไปที่ท้องน้อยบริเวณนั้นก็จะเกิดอาการสั่นกระตุกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เฝ้าดูอาการอยู่สักพักตราบใดที่เพ่งท้องการสั่นสะเทือนก็จะเกิดที่บริเวณท้องต่อเนื่องไม่หยุด เมื่อดูอาการสั่นที่บริเวณท้องได้สักประมาณ 2-3 นาที คราวนี้อาการสั่นเขาเคลื่อนที่เองได้ การสั่นย้ายไปที่บริเวณหน้าอก แต่หากเราเพ่งความสนใจมาที่ท้องน้อยอีกครั้ง การสั่นก็จะกลับมาที่บริเวณท้องเหมือนเดิม ตลอดชั่วโมงของการวิปัสสนาผมทดลองเคลื่อนย้ายการสั่นสะเทือนไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อทดสอบดูว่าบริเวณไหนจะสามารถเคลื่อนการสั่นสะเทือนไปได้บ้าง บางส่วนของร่างกายหากเราเพ่งอารมณ์ไปที่จุดนั้นการสั่นจะรุนแรงมาก บางตำแหน่งของร่างกายจะสั่นกระตุกเหมือนกบกระโดดเลยทีเดียว และเวลาในการนั่งภาวนา 1 ชั่วโมงก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วโมงการปฏิบัติในคาบถัดมาขณะที่ผมนั่งภาวนา เมื่อเริ่มดูลมหายใจที่จมูกร่างกายของผมจะสั่นเต้นกระตุกไปทั้งตัว เพ่งไปที่มือก็สั่นที่มือรวมถึงก้นกบไกล้ๆกับที่มือซ้ายวางอยู่ด้วย เพ่งที่หัวใจก็สั่นบริเวณหน้าอก เพ่งไปที่ต้นคอก็สั่นบริเวณคอ มาถึงตอนนี้ผมภาวนาด้วยการดูลมหายใจที่จมูกไม่ได้เสียแล้ว เพราะร่างกายของผมจะสั่นและเต้นอย่างแรง ซึ่งจะเกิดเสียงดังรบกวนผู้ปฏิบัติท่านอื่น ผมต้องพยายามหาส่วนของร่างกายที่จะเป็นฐานที่ตั้งของสติในตำแหน่งที่สั่นเบาน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนผู้อื่น

ผมได้ขอคำปรึกษาจากธรรมบริกร เพื่อสอบถามวิธีแก้ไข ซึ่งธรรมบริกรได้ให้คำแนะนำว่า หากร่างกายสั่นเคลื่อนไหวอย่างไรก็ปล่อยให้เขาสั่นหรือกระตุกไป เราเพียงแค่มีสติเฝ้าดูไม่ต้องไปแทรกแซงใดๆ ผมจึงขออนุญาตธรรมบริกรไปนั่งภาวนาในถ้ำเพื่อที่ขณะร่างกายสั่นแรงๆจะได้ไม่ไปรบกวนผู้บฏิบัติท่านอื่นๆ ซึ่งธรรมบริกรก็ใจดีอนุญาตให้แยกไปนั่งภาวนาในถ้ำเพียงคนเดียวได้ …

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

เครดิต – หนังสือวิมุตติธรรม โดย ปิยทัสสี ภิกขุ

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๖

เจ้ากรรมนายเวร ตัวจริงเสียงจริง

ธรรมชาติของจิตมีอารมณ์หรือความคิดเป็นอาหาร จิตจะทำงานอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เราตื่นอยู่ จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกก็จะซัดส่ายไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า “จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง – จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้” ทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เป็นเพราะ จิตของผมยังไม่ได้รับการฝึกนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นคนชอบทำบุญ ให้ทาน เกรงกลัวต่อบาปและอกุศลกรรมก็ตาม แต่หากจิตยังไม่ได้รับการฝึกก็จะให้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้

หลังจากที่ผ่านคอร์สวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกมาแล้วก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างในชีวิตขึ้นมาบ้าง โดยมีวิปัสสนากรรมฐานเป็นเหมือนเครื่องมือนำทาง ทำให้อยากที่จะเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ผมสมัครเข้าอบรมคอร์สที่สองถัดจากคอร์สแรกไปประมาณ 3 เดือน สำหรับคอร์สนี้ผมมุ่งมั่นมากกว่าครั้งแรก และเหมือนเดิมผมได้รับมอบหมายให้ดูแลห้องน้ำของฝั่งอุบาสกเช่นเดิม แต่รอบนี้ผมมีประสบการณ์บ้างแล้วทำให้ไม่เกิดปัญหาในการล้างห้องน้ำ แม้จะมีมดดำในห้องน้ำมาก คอร์สนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเข้าอบรมด้วย อายุน่าจะอยู่ราวๆประมาณ 22 ปี

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่ผมและน้องคนนี้มีที่นั่งไกล้ๆกันในห้องนั่งสมาธิ ทำให้ผมรับรู้ถึงอิริยาบถการเคลื่อนไหวของน้องเขาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น การขยับเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลาที่อยู่ในชั่วโมงนั่งภาวนา เหมือนน้องเขาไม่มีสมาธิในการนั่งภาวนาเอาเสียเลย พอหนักเข้าเมื่อนั่งสมาธิไม่ได้น้องเขาก็เปลี่ยนเป็นนั่งเปิดหนังสืออ่านในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ 40 ท่านนั่งภาวนาอยู่ในห้องนั้นด้วย

เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวทำให้ต้องใส่เสื้อกันหนาวหลายชั้น แต่เสื้อกันหนาวของน้องคนนี้เป็นผ้าร่มทำให้เวลาน้องเขาขยับร่างกายหรือเปลี่ยนท่านั่งภาวนาจะมีเสียงดังฟังชัดมากหากนั่งอยู่ไกล้ๆกัน ด้วยความที่น้องเขาไม่มีสมาธิขณะนั่งภาวนาทำให้ต้องขยับเปลี่ยนท่าตลอดเวลา เพื่อคลายความเจ็บปวดที่บริเวณขาทั้งสองข้าง ผมก็จะได้ยินเสียงผ้าร่มเคลื่อนไหวไปมาตลอดทั้งชั่วโมง ถ้าหากในตอนนั้นผมมีกำลังของสมาธิสูงขึ้นอีกสักนิดมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่อินทรีย์ผมก็ยังอ่อนอยู่ เมื่อมีเสียงผ้าและร่างกายคนรอบข้างเคลื่อนไหวตลอดเวลา หรือเสียงเปิดหนังสือขณะนั่งภาวนา จึงทำให้ผมอึดอัดขัดเคืองมากขึ้นๆ

วันแรกและวันที่สองผ่านไปก็ยังพอทนได้ พอถึงวันที่สามอาการเริ่มแย่ และในวันที่สี่ผมก็สติแตก คิดจะหนีออกจากคอร์สก่อนกำหนด เพราะมั่นใจว่าน้องเขาไม่สามารถที่จะนั่งภาวนานิ่งๆได้ถึงชั่วโมงแน่นอน แล้วผมก็จะต้องทนแบบนี้ไปถึง 15 วัน มันคงทำให้ผมเป็นโรคประสาทแน่ๆ ผมจึงแจ้งกับธรรมบริกรขอเปลี่ยนที่ไปนั่งด้านหลังห้องที่ห่างจากน้องเขาเยอะพอสมควร แต่เจ้ากรรมน้องเขาก็ดันย้ายที่ไปนั่งด้านหลังห้องไกล้กับผมอีกเหมือนเดิม โอ! แม่เจ้า… คงหนีกันไม่พ้น ผมคิดในใจ

หลังจากนั้นความคับแค้นในใจของผมจึงระเบิดออกมา เหมือนภูเขาไฟที่ถูกบ่มไว้ได้ที่แล้วระเบิดพวยพุ่งปล่อยธารลาวาอันร้อนแรงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ผมแจ้งธรรมบริกรว่าผมต้องการจะออกจากคอร์สปฏิบัติธรรมก่อนกำหนด แต่ธรรมบริกรผู้มีเมตตาก็พยายามโน้มน้าวให้ผมอยู่ต่อ โดยจะไปบอกให้น้องคนนั้นกลับไปนั่งที่เดิม และแก้ปัญหาต่างๆที่ผมอึดอัดขัดเคืองให้ บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าการที่เรานั่งนิ่งๆเป็นเวลา 1 ชั่วโมง หากเราไม่มีสมาธิเราจะต้องขยับเปลี่ยนท่านั่งตลอดเวลา เพราะไม่เช่นนั้นเราจะเกิดทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะในเวลา 1 ชั่วโมงนั้นจะเหมือนกับเราตกนรกทั้งเป็นเลยทีเดียว

รุ่งเช้าของวันที่ 5 ขณะผมนั่งภาวนาผมจึงเข้าใจคำว่า “เมตตา” อย่างแท้จริงด้วยตัวเอง ถึงแม้ผมจะอ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังธรรมบรรยายมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจเรื่องความเมตตาอยู่ดี ขณะที่ผมใคร่ครวญเรื่องการเก็บของกลับบ้านอยู่นั้น ผมก็คิดถึงอุบาสิกาที่นั่งภาวนาอยู่ในห้องนั้นด้วย ในคอร์สนี้มีอุบาสิกาเข้าปฏิบัติธรรมประมาณ 25 ท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสูงอายุทั้งนั้นมีอายุน้อยๆไม่กี่ท่าน แต่แม่ๆทั้งหลายท่านก็นั่งนิ่งเฉยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเสียงต่างๆที่เกิดจากน้องเขาเลยทั้งๆที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันและแม่ๆบางท่านก็นั่งไกล้ๆน้องคนนั้นด้วย พวกแม่ๆท่านช่างมีเมตตาต่อน้องเขาจริงๆ เปิดโอกาสให้น้องเขาได้เดินผ่านประตูแห่งอมตะธรรมที่เปิดรออยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวน้องเขาเองว่าจะเต็มใจเดินผ่านเข้าไปหรือไม่

แต่ในห้องนั้นมีผมเพียงคนเดียวที่เกิดสติแตกอยากจะกลับบ้าน ไม่สามารถที่จะปฏิบัติวิปัสสนาต่อไปได้ แม้ผมจะตั้งใจอย่างแรงกล้าในตอนแรกที่มาเข้าคอร์ส ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่า เมตตา ก็ตอนนี้เอง ทันใดนั้นน้ำตาของผมก็ไหลพรากออกมาเป็นสายจนแทบจะหยุดไม่ได้ หลังจากหมดชั่วโมงของการวิปัสสนาผมจึงแจ้งกับธรรมบริกรขออยู่ต่อไปจนจบคอร์ส ซึ่งธรรมบริกรก็ตอบรับด้วยความยินดีเช่นกัน …

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

หลวงพ่อขาว วัดอินทขิล จังหวัดเชียงใหม่

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๕

กายหยาบกายทิพย์

หลังจากผ่านด่านปีศาจมดมาได้พอถึงวันที่ 4 ของการปฏิบัติก็สัมผัสกับสภาวะธรรมที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต เนื่องจากที่วัดตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาสูงไกล้กับดอยอินทนนท์อากาศจึงหนาวเย็นเป็นเรื่องปรกติของที่นี่ ยิ่งเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนด้วยแล้วทำให้ผมต้องเตรียมความพร้อมสำหรับป้องกันความหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นภาคการปฏิบัติในช่วงเช้าด้วยแล้ว ผมต้องใส่เสื้อถึง 3 ชั้น และมีผ้าห่มคลุมตัวอีก 1 ชั้น

ขณะเริ่มนั่งวิปัสสนากรรมฐานตอนแรกก็รู้สึกว่าหนาว แต่พอนั่งไปได้สักประมาณ 10 นาที ก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมรู้สึกแปลกใจว่าเวลาห่างกันไม่นานเมื่อกี้นี้ยังรู้สึกหนาว ตอนนี้กลับรู้สึกว่าร้อน ผมจึงตั้งใจว่าจะไม่ขยับร่างกายเพื่อเปลี่ยนท่านั่งเด็ดขาดไม่ว่าจะร้อนหรือหนาวแค่ไหนก็ตามจะเป็นอะไรก็เป็นกัน! จากนั้นสักครู่ก็มีหมอกสีขาวๆลักษณะเหมือนไอน้ำปกคลุมที่ตัวผม และพวยพุ่งขึ้นไปทางด้านบนศีรษะ ทันใดนั้นตัวผมที่เป็นเหมือนแสงสว่างสีขาวก็ลอยตามไอน้ำขึ้นไป โดยมีกายหยาบนั่งอยู่ในท่านั่งสมาธิอยู่เบื้องล่าง ขณะที่กายทิพย์ลอยสูงขึ้นไปเหนือศีรษะได้เล็กน้อย ด้วยความตกใจและเกิดอาการกลัวที่ไม่เคยพบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในการนั่งสมาธิ ผมจึงรีบกำหนดความรู้สึกกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอีกครั้ง หลังจากนั้นกายทิพย์ก็ค่อยๆเคลื่อนกลับลงมาที่ด้านล่างเหมือนภาพหนังสโลว์โมชั่น และหมอกไอน้ำสีขาวก็ค่อยๆจางหายไป เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เหมือนกับผมกำลังนั่งดูภาพยนต์อยู่ แต่เป็นภาพยนต์ที่ผมเป็นผู้แสดงเสียเอง

เนื่องจากตลอด 10 กว่าปีที่เริ่มสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ มันจึงทำให้ผมตกใจจนรู้สึกมีอาการเหนื่อยหอบ และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่? สักครู่พอหายจากอาการตกใจผมก็เริ่มรู้สึกว่าร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเสื้อของผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แผ่นหลังของผมที่สัมผัสกับเสื้อยืดชั้นในเปียกชุ่ม ความร้อนที่รุมเร้าเข้ามาเหมือนตัวผมแทบจะละลาย แต่ก็ต้องอดทน เพราะผมได้ตั้งสัจจะไว้แล้วว่า “จะไม่ขยับเปลี่ยนท่านั่งเด็ดขาด หากยังไม่ได้ยินเสียงสัญญาณระฆังครบ 1 ชั่วโมง”

เวลาผ่านไปราวๆสัก 10 นาทีเห็นจะได้ ขณะความร้อนที่รุมเร้าเหมือนกับตัวผมเข้าไปนั่งอยู่ในตู้อบซาวน่ากำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สักครู่ก็ได้กลิ่นหอมเย็นๆของดอกไม้ป่าโชยมาเข้าจมูก เป็นกลิ่นที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต หอมเย็นลึกๆ ขณะนั่งหลับตาอยู่เมื่อกลิ่นหอมสัมผัสที่จมูกแล้วก็เหมือนกับวิ่งเข้าสู่หัวใจทันที มันรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก แม้เมื่อคืนที่ผ่านมาผมจะหลับไปเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น

ปรกติเวลาอยู่ที่บ้านผมจะนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเวลาผมมาเข้าคอร์สที่วัดผมมักจะนอนไม่ค่อยหลับ บางคืนนอนตาค้างอยู่ทั้งคืนได้หลับไปเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เพราะผมนอนดูนาฬิกาที่ข้อมือตลอดทั้งคืน จิตเหมือนถูกปลุกด้วยสภาวะธรรมที่แปลกใหม่ทุกวัน และการนอนหลับเพียงเล็กน้อยขณะพักอยู่ที่วัดไม่ได้ทำให้ผมเกิดอาการอ่อนเพลียแต่ประการใด ซึ่งแตกต่างจากการอยู่ที่บ้านหากวันไหนผมทำงานติดพันได้นอนเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งล่ะก็! ตื่นนอนวันรุ่งขึ้นจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หรือเกิดอาการป่วยไปเลยทีเดียว

ขณะกำลังครุ่นคิดถึงกลิ่นหอมอยู่นั้นก็ทำให้ความรู้สึกร้อนอบอ้าวผ่อนคลายลงมาระดับหนึ่ง ผ่านไปสักครู่ก็มีลมเย็นๆพัดโชยจากหน้าต่างผ่านมาที่ตัวผม มันทำให้รู้สึกเย็นสบายเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงสัญญาณระฆังเคาะ 1 ครั้ง เพื่อแจ้งกับผู้ปฏิบัติในห้องวิปัสสนากรรมฐานว่าครบ 1 ชั่วโมงแล้ว

ตลอดทั้งวันผมวนเวียนคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบในวันนี้ว่าคือสภาวะธรรมอะไร? ในหัวของผมมีแต่คำถาม คำถาม และคำถาม เนื่องจากที่วัดปฏิบัติกรรมฐานแบบปิดวาจาอย่างเคร่งครัดทำให้ผมไม่มีโอกาสได้สอบถามหรือพูดคุยกับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่น ครั้นจะเรียนถามกับพระอาจารย์ก็รู้สึกไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเวลาของพระอาจารย์ ตกกลางคืนของวันนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับอีกเช่นเคย มันเป็นความรู้สึกเหมือนจิตถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ของการหลับไหลมาอย่างยาวนาน เมื่อนอนไม่หลับผมจึงลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ในใจ และแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปถึงคุณแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ทันใดนั้นภาพใบหน้าของแม่ก็ปรากฏขึ้นมาในใจอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของแม่ผ่องใสน่าจะอยู่ในราวช่วงอายุประมาณ 50 ปี ผมรู้สึกอิ่มเอมใจมาก เพราะหลังจากที่แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไขกระดูกสันหลัง ซึ่งใช้วิธีรักษาด้วยการคีโม ผมก็ไม่เคยฝันถึงแม่เลยทั้งๆที่ผมอยากเห็นแม่ในฝันมาตลอดระยะเวลา 6 ปีหลังจากที่แม่เสียชีวิต

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

ภาพถ่ายของคุณแม่ขณะท่านอายุ 62 ปี

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๔

สัมผัสกับปีศาจมด

หลังจากทำงานมา 20 ปี ร่างกายเริ่มทรุดโทรมอย่างหนัก ช่วงหลังๆสายตาย่ำแย่มากอ่านหนังสือเพียงหน้าเดียวก็เกิดอาการเวียนหัวปวดหัวอย่างรุนแรง ต้องใช้ความอดทนสูงมากในการทำงาน บังเอิญช่วงนั้นบริษัทมีโครงการเกษียณอายุก่อนกําหนด ผมรีบขอสมัครเข้าโครงการทันทีทำให้ได้เงินสมทบมาจากบริษัทจำนวนหนึ่ง

เมื่อลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านสวนก็เริ่มเดินหน้าปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติในช่วงแรกก็ใช้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน แต่ผมก็พบกับอุปสรรคที่สำคัญคือ ‘ตัวง่วง’ หรือที่เรียกว่า ถีนมิทธนิวรณ์ ช่วงหลังๆตัวง่วงเล่นงานผมอย่างหนัก ปรกติจะพยายามนั่งสมาธิให้ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่พอนั่งสมาธิไปได้ 10 นาทีก็เริ่มง่วงแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งโงกง่วงไปตลอดชั่วโมง พอเลิกนั่งสมาธิอาการง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนหลังทดลองเปลี่ยนมาเป็นเดินจงกลมดูบ้าง ช่วงแรกๆก็พอจะได้ผลบ้าง แต่ตอนหลังก็เหมือนเดิมขนาดเดินจงกลมอยู่ดีๆง่วงจนเดินเซไปเซมา บางทีง่วงจนถึงกับเข่าทรุดแทบจะลงไปกองกับพื้น

ช่วงนี้มีญาติธรรมที่รู้จักกันแนะนำว่า ให้ไปปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์ เพื่อจะได้แก้ไขจากสภาวะที่ติดขัดอยู่ได้ หลังจากนั้นผมจึงเสาะหาวัดที่จะไปเข้ากรรมฐาน ซึ่งภรรยาของผมแนะนำให้ไปปฏิบัติภาวนาที่ วัดถ้ำดอยโตน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ผมสมัครเข้าคอร์ส 7 วัน ที่วัดนี้เข้าคอร์สภาวนาฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย มีที่พักสะอาด และสะดวกสบายตามสมควร มีอาหาร 2 มื้อ บรรยากาศรายล้อมด้วยขุนเขา สงบเงียบ เหมาะสมกับการภาวนามาก กฎของการเข้าคอร์สที่นี่คือ ปิดวาจา และเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด หน้าที่หลักของผู้เข้าคอร์สคือค้นหาความจริงภายในกายและใจของเราเป็นหลัก ก่อนเข้าคอร์สหลวงพ่อที่ดูแลธุรการบอกว่าโยมช่วยดูแลห้องน้ำชายนะ ผมคิดในใจ “อะไรกัน! ฝรั่งอยู่ 3 คน คนไทย 4 คน ทำไมให้ผมล้างห้องน้ำอยู่คนเดียว? คนอื่นไม่เห็นช่วยล้างเลย ใช้อยู่ด้วยกันแท้ๆ” คงเป็นเพราะผมยังจิตใจหยาบกระด้างเลยคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับหลวงพ่อ คิดว่าล้างก็ล้างไม่เป็นไร…

แต่มันมีปัญหาอยู่ว่ามดในห้องน้ำมีค่อนข้างเยอะ เป็นมดตัวดำๆกัดเจ็บ สังเกตดูมดชนิดนี้เป็นมดภูเขาจะพบตามแถบบนดอยบนเทือกเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่กัดโหดๆเท่ามดง่าม หรือมดแดงไฟ ผมก็พยายามหาวิธีล้างห้องน้ำโดยที่ไม่ต้องฆ่ามด แต่เจ้ามดจำนวนมากก็ชอบไปนอนเล่นในโถชักโครกเป็นกองๆ หรือว่าน้ำในโถชักโครกมันอร่อยก็ไม่แน่ใจ เพราะผมก็ไม่ได้ทดลองชิมดู! ก็เลยต้องตัดใจกดปุ่มชักโครก จากนั้นมดที่เป็นกองๆอยู่ก็โดนน้ำสูบลงไป

เหตุการณ์ผ่านไปสองวัน พอวันที่ 2 ของการภาวนา ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณบ่าย 3 โมง ตลอดการนั่งสมาธิประมาณ 1 ชั่วโมง ผมโดนปีศาจมดกัดย่ำแย่จิตใจหลุดกระเจิดกระเจิงภาวนาไม่ได้เลย มันกัดให้เราเจ็บแต่ไม่ให้เราเห็นตัวมัน หลังจากหมดเวลานั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงแล้ว ผมก็รื้อผ้ารองนั่งทุกผืนออกมาเช็คดู ซึ่งก็ไม่เห็นมีแม้แต่เงาของมดสักตัว

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

ร่มโพธิ์แห่งการตรัสรู้

รูปภาพต้นโพธิ์ภายในวัดถ้ำดอยโตน ซ้ายมือด้านล่างนกกาตัวนี้จะมารอรับเกือบทุกเช้าตอนนั่งกรรมฐานเสร็จ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเดินผ่านมาเขาจะกระโดดไปกระโดดมาข้างๆทางเดิน

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๓

ความเมตตาของหลวงพ่อ

หลังจากทำงานอยู่ในเขตภาคเหนือตอนบน(เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน)ได้สักประมาณ 2-3 ปี ก็ได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปประจำในเขตภาคเหนือตอนล่าง(นครสวรรค์ อุทัย ชัยนาท) และที่นี่ผมได้พบกับหลวงพ่อที่มีเมตตาสั่งสอนผมตั้งแต่การปฏิบัติเบื้องต้น เช่น การกราบพระ การปฏิบัติกัมมัฏฐาน การสั่งสมคุณงามความดี

ผมได้มีโอกาสรู้จักกับ ‘วัดไกลกังวล’ หรือที่บางคนเรียกว่า ‘เขาสารพัดดีศรีเจริญธรรม’ อยู่ที่อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท โดยการแนะนำของภรรยา เนื่องจากเธอทำงานเป็นออแกไนเซอร์ต้องตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆที่ลูกค้าต้องการโปรโมทสินค้า ซึ่งลูกค้าของเธอที่อำเภอหันคาแนะนำให้ไปเยี่ยมชมที่วัดไกลกังวล เพราะเขาไปถือศีลที่วัดนี้เป็นประจำ และที่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมของผม

ปรกติผมจะเป็นมนุษย์ที่ออกแนวเฟอะฟะเล็กน้อย คือ ไม่ค่อยจะรู้กฎระเบียบของสงฆ์เท่าที่ควร วันแรกที่ผมไปกราบหลวงพ่อท่านมองมาที่ผมอย่างมีเมตตา เมื่อผมก้มลงกราบครั้งแรกท่านก็ยิ้มซึ่งเป็นบุคลิกประจำตัวของท่านแล้วพูดว่า “โยมกราบใหม่” ขณะนั้นผมนั่งกราบในท่านั่งพับเพียบ เมื่อหลวงพ่อพูดจบผมก็ก้มลงกราบท่านในท่าเดิมอีกครั้ง หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า “เอาใหม่โยม ลุกขึ้นนั่งคุกเข่า มือประสานไว้ที่หน้าอกแล้วก้มลงกราบ ตอนกราบข้อศอกแตะกับหัวเข่าแล้วกราบ 3 ครั้ง เอ้า! ลองใหม่นะโยม” หลวงพ่อท่านมีเมตตาสอนผมละเอียดขนาดนี้

คนที่อยู่ในวัดประจำจะรู้กิตติศัพท์ดีว่าหลวงพ่อท่านดุมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปนอนวัด ปรกติแล้วที่พักอุบาสกจะอยู่ที่ชั้นล่างของหอสวดมนต์ และมีอาจารย์ใหญ่ยืนอยู่ข้างๆที่นอน อาจารย์ใหญ่ของผมคือ โครงกระดูกมนุษย์ถูกเรียงกันในท่ายืนอยู่ในตู้กระจก 2 ตู้ เวลาเข้าไปนอนในที่พักใหม่ๆก็คิดฟุ้งซ่านทำให้นอนไม่ค่อยหลับ แต่หลังๆก็ชินไปเอง ทีนี้เวลาเดินจากบนหอสวดมนต์ลงมาด้านล่าง เมื่อเดินตามทางปรกติผมมีความรู้สึกว่ามันอ้อมไปหน่อย แต่ผมเห็นทางเดินเล็กๆตัดตรงลงมาจากหอสวดมนต์ผมว่ามันเป็นทางลัดระยะทางสั้นดี ผมก็เลยเดินลงมาทางนั้นขณะที่ผมเดินลงมาเห็นหลวงพ่อท่านนั่งก้มหน้าทำงานของท่าน ซึ่งบริเวณด้านหน้าศาลาที่หลวงพ่อทำงานจะมีสุ้มที่นั่งเล็กๆสำหรับญาติโยมอยู่ 2-3 หลัง ผมก็เลยนั่งพักแถวนั้น หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรผม แต่สักพักมีแม่ชีเดินลงมาทางเดียวกับที่ผมเดินมาเมื่อกี้นี้ จากนั้นก็เดินผ่านหลวงพ่อไป และทันใดนั้นหลวงพ่อก็หันควับมาที่แม่ชี ผมสังเกตเห็นท่านทำตาดุๆ หลังจากนั้นผมมีความรู้สึกว่าแม่ชีจะมีอาการตัวสั่นของที่ถืออยู่ในมือแทบจะกระเด้งตกลงมาที่พื้นเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าแม่ชีทำอะไรผิด แต่ผมเห็นสายตาดุๆของหลวงพ่อแล้วผมก็ไม่อยากจะเสียเวลาหาคำตอบ เพราะมันจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีแน่ๆ เมื่อถึงจังหวะนี้ผมก็เลยใช้วิชาตัวเบาหลบออกจากตรงนั้นแทบจะทันทีทันใดเหมือนกัน

หลวงพ่อจะมีเมตตากับผมเสมอ แม้ผมจะเฟอะฟะขนาดไหนก็ตาม ไปกราบท่านเมื่อไหร่ท่านจะถามทุกครั้ง “กรรมฐานเป็นไงบ้างโยม” คำตอบที่ท่านได้จากผมคือ “ไม่ค่อยคืบหน้าครับ มีแต่ปวดขาอย่างเดียวเลยครับ” หลวงพ่อก็เมตตาตอบพร้อมกับรอยยิ้มของท่าน “ไม่เป็นไร อยู่บ้านก็ค่อยๆทำไป ว่างเมื่อไรก็มานอนที่วัด ละจากบ้านมาถือศีลที่วัดเราจะได้เนกขัมมบารมี”

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

รูปปั้นมังกรตั้งอยู่ด้านหน้าของอุทยานสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๒

ความเมตตาของคุณยาย

หลังจากที่เรียนจบและทำงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ได้สักระยะจึงตัดสินใจซื้อบ้านทาวเฮ้าส์โครงการเล็กๆ อยู่ในเขตบ้านสันป่าเลียง ตำบลหนองหอย หากดูจากแผนที่อย่างเป็นทางการจะถูกเรียกว่า บ้านเสาหิน ซอย 5 สมัยก่อนคนอยู่แถวนี้ยังไม่มากเหมือนปัจจุบันถือว่าเป็นเขตบ้านนอก หมู่บ้านจึงถูกรายล้อมด้วยทุ่งนาสามารถมองเห็นรถไฟที่วิ่งผ่านเพื่อเข้าไปยังสถานีเชียงใหม่ได้ ไม่ได้เป็นสภาพหมู่บ้านและอาคารพาณิชย์แออัดยัดเยียดเหมือนเช่นปัจจุบัน ด้วยความที่ถนนผ่านหมู่บ้านที่ผมอยู่เข้าออกได้หลายทางจึงทำให้ปัจจุบันนี้เป็นทางลัดเวลารถติดมากๆบริเวณสี่แยกหนองหอย ถนนมหิดล คนในพื้นที่ส่วนใหญ่มักจะใช้เส้นทางจากถนนมหิดล ผ่านเข้าวิทยาลัยเทคโนโลยีเอเชีย ผ่านหมู่บ้านชัยพฤกษ์ แล้วไปทะลุออกถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เส้นอุโมงค์ใต้ดินก็ได้ หรือจะเลี้ยวขวาไปออกทางโรงพักแม่ปิงถนนต้นยางสายเชียงใหม่-ลำพูนก็ได้

หลังบ้านของผมมีนางฟ้าอยู่องค์หนึ่งชื่อ ยายฟองนวล จะคอยดูแลเอาใจใส่ภรรยาและลูกสาว เวลาผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะโดนผีคาราโอเกาะเข้าสิง ตอนนั้นลูกสาวของผมอายุประมาณ 3-4 ปี กำลังน่ารักคุณยายก็จะมาตะโกนเรียกไปกินข้าวไปกินขนม ภรรยาและลูกสาวผมก็จะเดินอ้อมไปทางหน้าบ้านของคุณยายไปกินไปนอนที่นั่นจนกว่าผีคาราโอเกะจะกลับ เมื่อนึกย้อนกลับไปผมก็ยังขำตัวเองเหมือนกัน ทำไปได้…

เดินอ้อมหน้าบ้านทุกวันเสียเวลา คุณยายเลยอนุญาตให้ทุบรั้วด้านหลังบ้านทำเป็นประตูเล็กๆสำหรับมุดเข้าออกได้ง่ายๆ ทำให้สองแม่ลูกสบายไปเลย 555.

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

พ่อก็รักแม่และลูกที่สุดในโลกเหมือนกันจ๊ะ

เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๑

ความเมตตาของหลวงปู่

เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว สมัยนั้นหลวงปู่จำพรรษาอยู่วัดฟ้าหลั่งทุกครั้งที่ผมไปกราบท่าน หลวงปู่มีเมตตามากแม้ในช่วงหลังร่างกายท่านเริ่มเสื่อมถอยไปตามอายุ แต่ท่านก็มีเมตตาให้เข้าไปกราบขอพรท่าน เมื่อได้เข้าไปกราบหลวงปู่ท่านก็เอามือลูบหัวและเป่าที่กระหม่อมให้จากนั้นท่านก็พูดด้วยความเมตตาว่า “หายโรคหายภัยนะลูก” มาถึงทุกวันนี้ผมยังจำบุญคุณของท่านได้เสมอ

ช่วงนั้นผมยังอยู่ในวัยหนุ่มเรื่องดื่ม กิน เที่ยว ไม่เป็นสองรองใคร ปรกติถ้าได้ออกท่องราตีแล้ว หากแสงทองไม่ส่องปรากฏบนท้องฟ้าก็จะหาทางกลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว และสมัยนั้นก็ชอบออกท่องราตีบ่อย เรียกได้ว่าวันเว้นวันเลยทีเดียว นี่ก็ยังดีนะที่มีเว้นบ้าง ไม่งั้นก็คงไม่ได้มีชีวิตยืนยาวมาถึงทุกวันนี้

เรื่องอาสวะที่สะสมอยู่ในดวงจิตนั้นจึงไม่ต้องพูดถึง มันมีมากมายมหาศาลเหลือคณานับ หากหลวงปู่ไม่เมตตาให้ผมเข้าไปกราบพร้อมกับเป่าหัวให้ด้วยความเอ็นดูแล้วละก็ ผมอาจจะไม่มีวันนี้ เพราะท่านคือแรงบันดาลใจของผมอย่างมากในช่วงนั้น เวลาผมมีความทุกข์ในใจผมจะนึกถึงหลวงปู่ หาเวลาไปกราบท่าน ซึ่งท่านก็มีเมตตาให้ผมเข้าไปกราบแม้บางครั้งท่านจะอาพาธมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ข้างกายท่านก็ตาม

ผมทำงานเป็นช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นคอมพิวเตอร์กำลังเริ่มได้รับความนิยม เริ่มตั้งแต่ เครื่องแอปเปิล Ⅰ, Ⅱ, Ⅲ จนกระทั่งมาถึง เครื่อง IBM PC ช่วงนั้นช่างคอมพิวเตอร์ขาดแคลนอย่างหนัก ผมโชคดีมากที่จบสายฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์มา ผมจบจาก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เทคโนตีนดอย” พอได้ทำงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์ต่างชาติผลตอบแทนดีมาก เงินเดือนดี มีค่าล่วงเวลา โบนัส สวัสดิการมากมาย ซึ่งก็ส่งผลให้ผมใช้ชีวิตอยู่กับโลกแห่งแสง สี เสียง ยามราตีได้อย่างเมามัน

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

สวนสายลมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว