เรื่องเล่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตอนที่ ๘

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ

ช่วงที่ทำงานบริษัทอยู่นั้น ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินอย่างหนัก เพื่อสะสมทรัพย์สินเงินทองให้ทัดเทียมกับคนอื่นในสังคม เมื่อยังไม่ได้แต่งงานก็อยากแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีลูก มีลูกแล้วก็อยากมีบ้าน มีบ้านแล้วก็อยากมีรถ พอใช้รถเก่าก็อยากซื้อรถใหม่ ดูเหมือนความอยากมันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

มนุษย์เราทุกวันนี้วิ่งวุ่นแสวงหาลาภ ยศ ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง และเกียรติยศ เพื่อบำรุงบำเรอความอยากของตัวเอง แม้บางครั้งต้องทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่นก็ตาม ความอยากที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ ลำพังการทำงานหาเลี้ยงชีวิตหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะได้ทรัพย์สมบัติมากมายเกินความพอดีที่ตัวเองจะใช้หมดในชาตินี้ ก็ยังนับได้ว่าเป็นความอยากที่สุจริต แต่สำหรับบางคนแล้วบำรุงความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของตัวเองด้วยการเบียดเบียน หลอกลวง คดโกง ทุจริตต่อผู้อื่นและสังคม

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า “โลกพร่องอยู่เป็นนิจ” โลกเป็นอยู่อย่างนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง จงอย่าพยายามไปแก้ไขที่โลก แต่ควรทำใจให้เห็นธรรมดาของโลกเข้าไว้ โลกนี้วุ่นวายอยู่เป็นนิจ แต่จิตใจอย่าไปวุ่นวายกับโลก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ อย่าไปคิดที่จะแก้ไขโลก จงแก้ไขที่จิตใจของตัวเราเอง จิตของเราก็เหมือนคนทั่วๆไปมีความอยาก ความรัก ความชัง เหมือนกันกับคนอื่น ศึกษาเรียนรู้เฝ้าดูจิตใจของเราเองจนละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจผู้อื่น

ท่านพระรัฐปาละได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าโกรัพยะ เรื่อง โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ดังนี้

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร มหาบพิตรทรงครอบครองกุรุรัฐอันเจริญอยู่หรือ?

พระเจ้าโกรัพยะ: อย่างนั้น ท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าครอบครองกุรุรัฐอันเจริญอยู่

พระรัฐปาละ: มหาบพิตรเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ราชบุรุษของมหาบพิตรที่กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผล พึงมาจากทิศบูรพา เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้ามาจากทิศบูรพา ในทิศนั้นข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้น มีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะที่ฝึกแล้วมาก มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ทำแล้วก็มาก ในชนบทนั้นสตรีปกครอง พระองค์อาจจะรบชนะได้ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิดมหาราชเจ้า ดังนี้มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น?

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็จะไปรบเอาชนบทนั้นมาครอบครองเสียน่ะซิ

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ราชบุรุษของมหาบพิตรที่กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผล พึงมาจากทิศปัศจิม … จากทิศอุดร … จากทิศทักษิณ … จากสมุทรฟากโน้น เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้ามาจากสมุทรฟากโน้น ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้น มีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะที่ฝึกแล้วมาก มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ทำแล้วมาก ในชนบทนั้นสตรีปกครอง พระองค์อาจจะรบชนะได้ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิดมหาราชเจ้า ดังนี้มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น?

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็จะไปรบเอาชนบททั้งหมดนั้นมาครอบครองเสียน่ะซิ

พระรัฐปาละ: ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสธัมมุทเทสว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระเจ้าโกรัพยะ: ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาก่อน ข้อว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหานี้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้ว ท่านรัฐปาละ เป็นความจริง โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา …

เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่อนุญาตให้สำเนาข้อความทุกรูปแบบเพื่อไปเผยแพร่ที่อื่น สามารถทำลิงค์มายังเว็บไซต์นี้ได้

พระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *